วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

นิทานอาเซียน 10 ประเทศ

นิทานอาเซียน 10 ประเทศ


นิทานอาเซียน ประเทศมาเลเซีย เรื่องลูกกระจงน้อยกับจระเข้

นานมาแล้ว มีจระเข้ร้ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่กับฝูงที่แม่น้ำกว้างใหญ่ เจ้าจระเข้ร้ายคอยจ้องจับกินลูกกระจงน้อยตัวหนึ่งมานานแล้วแต่ก็จับไม่ได้สักที เพราะเจ้าลูกกระจงตัวงนี้ฉลาดเฉลียวอย่าบอกใคร
       วันหนึ่ง ลูกกระจงอยากข้ามแม่น้ำไปหากินหญ้าและผลไม้อีกฝั่งแม่น้ำ แต่ไม่รู้ว่าจะผ่านเจ้าจระเข้ร้ายไปได้อย่างไร เจ้าลูกกระจงพยายามครุ่นคิดอย่างหนักจนคิดแผนดีๆขึ้นได้
       เจ้าลูกกระจงจึงเดินไปที่แม่น้ำแล้วตะโกนเรียกจระเข้ร้ายเสียงดังลั่น เจ้าจระเข้ก็รีบโผล่พรวดขึ้นมาทันที "เจ้าลูกกระจง เจ้าเรียกข้างั้นเหรอ ไม่กลัวข้าลากเจ้าไปกินรึไง” ลูกกระจงน้อยแสร้งทำเป็นกลัวตัวสั่น และบอกด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า ได้รับคำสั่งจากพระราชา ให้มานับจำนวนจระเข้ในแม่น้ำใหญ่ เพื่อเชิญไปงานเลี้ยงค่ำนี้
       "บอกให้เพื่อนๆของเจ้าลอยตัวขึ้นมาเรียงกันเป็นแถวยาวไปจนถึงฝั่งโน้นสิ ข้าจะได้นับจำนวนง่าย ๆ แล้วท่านก็อย่าคิดกินข้าล่ะ ไม่งั้นพวกท่านอดไปงานเลี้ยงแน่” เจ้าจระเข้ร้ายหลงเชื่ออุบายของลูกกระจง จึงรีบดำน้ำลงไปบอกพวกพ้อง ชั่วพริบตาฝูงจระเข้ก็ขึ้นมาเรียงตัวเป็นแถวทอดยาวไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง
       เจ้าลูกกระจงกระโดดไปบนหัวของจระเข้ร้ายและเพื่อนๆจระเข้ของมันทีละตัว ๆ พร้อมกับตะโกนนับจำนวนเสียงดัง จนกระทั่งข้ามขึ้นอีกฝั่งได้สำเร็จ เมื่อทุกอย่างสำเร็จตามแผน เจ้าลูกกระจงก็หันมาหัวเราะยั่วเย้าจระเข้ร้าย "ขอบใจนะ ลุงจระเข้ ที่ช่วยเป็นธุระทำสะพานให้ข้าข้ามแม่น้ำได้สบายๆ แถมยังไม่ต้องถูกกินอีกด้วย”
       จระเข้ร้ายรู้ตัวว่าถูกหลอกก็หน้าเสีย เพื่อนๆจระเข้ต่างรุมต่อว่ามัน ด้วยความโกรธแค้น และพากันตำหนิที่เจ้าจระเข้ร้ายทำให้พวกมันต้องเสียหน้า จากวันนั้นจระเข้ร้ายก็ถูกเพื่อน ๆ เฉยเมยกับมันไปพักใหญ่ทีเดียว



ที่มา วชิราภรณ์ น้อยยม
http://region4.prd.go.th

admin

  • Administrator
  • Jr. Member
  • *****
  • Posts: 64
    • View Profile
Re: นิทานอาเซียน 10 ประเทศ
« Reply #1 on: July 09, 2012, 12:09:24 pm »
นิทานอาเซียน ประเทศอินโดนีเซีย เรื่อง กระจงเจ้าปัญญา 
นานมาแล้ว มีจระเข้ร้ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่กับฝูงที่แม่น้ำกว้างใหญ่ เจ้าจระเข้ร้ายคอยจ้องจับกินลูกกระจงน้อยตัวหนึ่งมานานแล้วแต่ก็จับไม่ได้สักที เพราะเจ้าลูกกระจงตัวงนี้ฉลาดเฉลียวอย่าบอกใคร
       วันหนึ่ง ลูกกระจงอยากข้ามแม่น้ำไปหากินหญ้าและผลไม้อีกฝั่งแม่น้ำ แต่ไม่รู้ว่าจะผ่านเจ้าจระเข้ร้ายไปได้อย่างไร เจ้าลูกกระจงพยายามครุ่นคิดอย่างหนักจนคิดแผนดีๆขึ้นได้
       เจ้าลูกกระจงจึงเดินไปที่แม่น้ำแล้วตะโกนเรียกจระเข้ร้ายเสียงดังลั่น เจ้าจระเข้ก็รีบโผล่พรวดขึ้นมาทันที "เจ้าลูกกระจง เจ้าเรียกข้างั้นเหรอ ไม่กลัวข้าลากเจ้าไปกินรึไง” ลูกกระจงน้อยแสร้งทำเป็นกลัวตัวสั่น และบอกด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า ได้รับคำสั่งจากพระราชา ให้มานับจำนวนจระเข้ในแม่น้ำใหญ่ เพื่อเชิญไปงานเลี้ยงค่ำนี้
       "บอกให้เพื่อนๆของเจ้าลอยตัวขึ้นมาเรียงกันเป็นแถวยาวไปจนถึงฝั่งโน้นสิ ข้าจะได้นับจำนวนง่าย ๆ แล้วท่านก็อย่าคิดกินข้าล่ะ ไม่งั้นพวกท่านอดไปงานเลี้ยงแน่” เจ้าจระเข้ร้ายหลงเชื่ออุบายของลูกกระจง จึงรีบดำน้ำลงไปบอกพวกพ้อง ชั่วพริบตาฝูงจระเข้ก็ขึ้นมาเรียงตัวเป็นแถวทอดยาวไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง
       เจ้าลูกกระจงกระโดดไปบนหัวของจระเข้ร้ายและเพื่อนๆจระเข้ของมันทีละตัว ๆ พร้อมกับตะโกนนับจำนวนเสียงดัง จนกระทั่งข้ามขึ้นอีกฝั่งได้สำเร็จ เมื่อทุกอย่างสำเร็จตามแผน เจ้าลูกกระจงก็หันมาหัวเราะยั่วเย้าจระเข้ร้าย "ขอบใจนะ ลุงจระเข้ ที่ช่วยเป็นธุระทำสะพานให้ข้าข้ามแม่น้ำได้สบายๆ แถมยังไม่ต้องถูกกินอีกด้วย”
       จระเข้ร้ายรู้ตัวว่าถูกหลอกก็หน้าเสีย เพื่อนๆจระเข้ต่างรุมต่อว่ามัน ด้วยความโกรธแค้น และพากันตำหนิที่เจ้าจระเข้ร้ายทำให้พวกมันต้องเสียหน้า จากวันนั้นจระเข้ร้ายก็ถูกเพื่อน ๆ เฉยเมยกับมันไปพักใหญ่ทีเดียว

นิทานอาเซียน ประเทศไทย เรื่อง ตำนานขนมครก 

ไอ้กะทิ หนุ่มน้อยแห่งดงมะพร้าวเตี้ย แอบมีความรักกับ หนูแป้ง สาวสวยประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน ทั้งคู่เจอกันวันลอยกระทง และสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอยึดมั่นความรักแท้ที่มีต่อกันชั่วฟ้าดินสลาย
       ไอ้กะทิก้มหน้าก้มตาเก็บหอมรอมริบหาเงินเพื่อมาสู่ขอลูกสาวจากผู้ใหญ่บ้าน แต่กลับถูกปฏิเสธแถมยังโดนผู้ใหญ่ส่งชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือมาลอบทำร้าย แต่ไอ้กะทิก็ไม่ว่ากระไร มันพาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้าน นอนหยอดน้ำข้าวต้มซะหลายวัน แต่ใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาสู่ขอหนูแป้งใหม่จนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน
       แต่แล้วความฝันของไอ้กะทิ ก็พังพินาศเมื่อผู้ใหญ่ยกหนูแป้งลูกสาวคนสวยให้แต่งงานกับปลัดหนุ่มจากบางกอก ไอ้กะทิรู้ข่าวจึงรีบกระเสือกกระสนหมายจะมายับยั้งการแต่งงานครั้งนี้ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็วางแผนป้องกันไว้แล้ว โดยขุดหลุมพรางดักรอไว้ แต่แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายเสียก่อน จึงลอบหนีออกมาหมายจะห้ามหนุ่มคนรักไม่ให้ตกหลุมพราง
       คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม หนูแป้งวิ่งฝ่าความมืดออกมาเพื่อดักหน้าไอ้กะทิ ไอ้กะทิเห็นหนูแป้งวิ่งมาก็ดีใจทั้งคู่รีบวิ่งเข้าหากัน ฉับพลัน!!…ร่างของหนูแป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ฯ ผู้เป็นพ่อ ต่อหน้าต่อตาไอ้กะทิ อารามตกใจนายกะทิก็รีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือหนูแป้ง อารามดีใจสมุนชายฉกรรจ์ของผู้ใหญ่บ้านซึ่งแอบซุ่มอยู่ ก็รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบหลุมที่ทั้งคู่หล่นลงไป เพราะคิดว่าในหลุมมีเพียงไอ้กะทิผู้เดียว
       รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านสั่งให้ขุดหลุมเพื่อดูผลงาน แทบไม่เชื่อสายตาเบื้องล่างปรากฏร่างของ ไอ้กะทิประคองกอดทับร่างหนูแป้งลูกสาวของตน ทั้งสองนอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อรอยยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่บ้านรำพึงต่อหน้าศพของลูกสาวว่า..

                                   "พ่อไม่น่าคิดทำลายความรักของลูกเลย”

        ตั้งแต่นั้นมาอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้กะทิ กับ แม่แป้ง ก็จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้ง และกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่า "จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป” ขนมนี้จึงถูกเรียกขานกันในนาม "ขนมแห่งความรัก” หรือ ขนม คน-รัก-กัน ต่อมาถูกเรียกย่อ ๆ ว่า "ขนม ค-ร-ก” นั่นเอง

นิทานอาเซียน ประเทศสิงคโปร์ เรื่อง บาดังผู้ทรงพลัง
ครั้งหนึ่งในอาณาจักรยะโฮร์ มีทาสชายคนหนึ่งชื่อ บาดัง ทุกวันบาดังต้องออกไปทำงานหนักที่ในป่าเพื่อปรับพื้นดินให้แก่นาย โดยตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ๆขุดรากถอนโคนออก ยามว่างก็วางไซดักปลาในแม่น้ำใกล้ๆ

       วันหนึ่งบาดังผิดหวังเพราะไม่มีปลาในไซเลย แต่พอเขาก้มลงดูใกล้ๆก็เห็นเกล็ดปลาและก้างปลาอยู่ก้นไซ ต้องมีปลาเข้าแน่ๆแต่จะต้องมีใครมากินมันหมด วันแล้ววันเล่าที่บาดังเฝ้าวางไซดักปลา แล้วเหตุอย่างเดียวกันก็เกิดขึ้นทุกที คือ ในไซไม่มีปลามีแต่เกล็ดและก้างทิ้งไว้ บาดังจึงเอ่ยขึ้น "เห็นทีจะต้องค้นหาให้รู้ว่าใครขโมยปลาของเราไป" ดังนั้นวันหนึ่งเมื่อเขาวางไซแล้ว ก็ไปซ่อนตัวอยู่ในกอกกต้นสูงๆริมแม่น้ำ คอยทีอยู่ น้ำเย็นเยือกยิ่งขึ้นแต่บาดังก็ยังทนยืนไม่ยอมเคลื่อนที่ไปไหน เขาคอยอยู่เป็นเวลานาน เฝ้ามองดูปลาซึ่งติดไซพยายามแหวกว่ายน้ำหนี

        แล้วในที่สุดบาดังก็แลเห็นใครคนหนึ่งแอบย่องมาที่ไซของเขา ....มันเป็นอสุรกายนัยน์ตาแดงก่ำ ผมดกหนายุ่งเหยิง เครายาวลงมาถึงเอว พออสูรตนนั้นจะลงมือกินปลา บาดังก็กระโจนพรวดถึงตัวมัน "แกนั่นเอง ขโมยปลาของข้าไป" บางดังร้องตวาด ฉวยเคราไอ้เจ้าตัวนั่นไว้ มันพยายามจะออกวิ่งหนี แต่บาดังก็รั้งเครามันเอาไว้แน่น มันร้องวิงวอน "อย่าฆ่าข้าเลย อย่าฆ่าเลย ถ้านายปล่อยให้ข้ารอดขีวิต ข้าจะให้สิ่งที่นายปรารถนา ทรัพย์สิน อำนาจ กำลังกาย ล่องหนหายตัว หรือจะเอาอะไรก็ได้ ขออย่างเดียวโปรดอย่าทำร้ายข้าเลย"
       บาดังคิดอย่างรวดเร็ว ถ้าเขาขอทรัพย์สิน นายของเขาต้องเอาไปหมด สิ่งที่เขาอยากได้คือ กำลังกาย ถ้าเขามีกำลังกายแข็งแรงจะได้ใช้มันถอนต้นไม้ฮึ่ดเดียวให้หลุดออกทั้งรากทั้งโคน แล้วเขาจะได้ถากถางพื้นที่ได้เสร็จในเวลาไม่นาน บาดังจึงบอกแก่มันว่า "ข้าอยากได้กำลังกายให้แข็งแรง พอที่จะถอนต้นไม้ใหญ่ที่สุดได้ด้วยมือข้างเดียว" "ข้ายอมให้ตามความปรารถนาของนาย" อสูรกล่าว " ทีนี้ปล่อยข้าไปเถิด " แต่บาดังยังไม่ยอมปล่อยให้มันเป็นอิสระ จนกว่าจะได้ทดลองกำลังของเขาดูแล้ว บาดังลากเอาเจ้าอสูรไปด้วยมือข้างหนึ่ง เดินเข้าไปในป่า เอามือฉวยต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในป่า ซึ่งปกติแล้วเขาต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะโคนมันลงแล้วขุดรากถอนโคนมันได้เสร็จ แต่มาบัดนี้ต้นไม้มหึมานั้นหลุดพรวดพราดออกมาทั้งรากทั้งโคนง่ายเหมือนถอนต้นหญ้า เขาแข็งแรงจริงแล้ว! เขาจึง ปล่อยอสูรนั้นไป

       บาดังคงทำงานต่อไปในป่าอีก แต่เดี๋ยวนี้เพราะกำลังมหาศาลของเขานั่นเอง เขาสามารถทำงานที่เคยใช้เวลาแรมวันแรมเดือนเสร็จภายในสองสามนาที ต้นไม้ใหญ่ๆถูกดึงถอนยกขึ้นลิ่วๆ ไม่นานป่าทึบก็กลายเป็นพื้นที่ราบโล่งพร้อมจะลงมือไถคราดได้ เมื่อนายถามเขาว่าทำอย่างไรงานของเขาจึงสำเร็จได้อย่างอัศจรรย์ใจอย่างนั้น บาดังก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้นายฟัง "เมื่อเจ้าอสูรมันบอกแก่ข้าพเจ้าว่า มันจะให้สิ่งใดก็ได้แล้วแต่ข้าพเจ้าอยากจะได้ ข้าพเจ้าเลยเลือกเอากำลังกาย เพื่อจะได้รับใช้นายให้ดีกว่าที่แล้วๆมา" บาดังกล่าวในตอนท้าย นายฟังคำของบาดังแล้วก็ตื้นตันใจ จึงให้อิสรภาพแก่บาดังตั้งแต่นั้นมา ชื่อเสียงของบาดังเลื่องลือไปทั่วแคว้น ไม่ช้านัก รายาแห่งแคว้นสิงคปุระก็เชิญบาดังไปเป็นแม่ทัพ บาดังรับคำเชิญและได้ทำวีรกรรมทางพลังกายให้แก่รายาหลายครั้ง

       ต่อมาราชาแห่งอาณาจักร กลิงคะได้ทราบเรื่องของบาดังผู้ทรงพลังเข้า ก็ส่งคนที่แข็งแรงที่สุดในแคว้นของพระองค์มาท้าบาดัง การแข่งขันกระทำกันที่พระลานในวังของรายาสิงคปุระ ผู้คนมาชุมนุมกันมากมายก่ายกอง องค์ราชาเองก็เสด็จมาดูด้วย ได้ตกลงกันไว้ว่าคนของรายาฝ่ายใดแพ้ก็ต้องยกเรือใหญ่เจ็ดลำพร้อมด้วยทรัพย์สินมีค่าเต็มลำให้แก่ฝ่ายที่ชนะตรงหน้าวังมีก้อนหินใหญ่มหึมาตั้งอยู่ ผู้ทรงพลังฝ่ายกลิงคะร้องท้าบาดังให้คอยดูว่าใครจะเป็นคนยกหินก้อนนั้นได้ คนฝ่ายกลิงคะใช้สองแขนยกก้อนหินขึ้นอย่างสุดกำลัง หินค่อยๆเคลื่อนขึ้นจากพื้นทีละนิ้วๆ จนสูงขึ้นมาแค่เข่าของคนยก แต่ก็ยกสูงขึ้นกว่านั้นอีกไม่ไหว ต้องปล่อยหินตกตึงลงบนดินเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น "เอ้า ทีนี้ตาท่านบ้างละ" คนฝ่ายกลิงคะร้องบอกบาดัง

       บาดังยืนยืดอกอยู่ข้างก้อนหิน แล้วก้มตัวลงยกก้อนหินอย่างง่ายดายรวดเดียวก็สูงขึ้นเหนือศรีษะเหมือนยกหินก้อนเล็กๆ บาดังเอามือยกหินแกว่งไปรอบๆ หลายครั้ง แล้วก็โยนขึ้นลอยละลิ่วสูงกว่าศีรษะคนดูเสียอีก   คนดูโห่ร้องเชียร์กันสนั่นหวั่นไหว  แล้วบาดังก็เป็นฝ่ายชนะ ได้เรือเจ็ดลำพร้อมด้วยข้าวของเงินทองเต็มลำ แชมเปี้ยนฝ่ายแพ้คอตกออกแล่นเรือกลับบ้านตน

       เรื่องราวการกระทำอันลือเลื่องด้วยพลังแกร่งกล้าของบาดังขจรขจายไปถึงอาณาจักรเปลัค รายาแห่งแคว้นเปลัคเป็นอนุชาของรายาแห่งแคว้นสิงคปุระ ตกลงพระทัยจะส่งผู้ทรงพลังของพระองค์ ชื่อว่า เบนเดรัง มาท้าแชมเปี้ยนผู้ทรงพลังของพระเชษฐา พร้อมด้วยอัครเสนาบดีถือสารมาถวายพระเชษฐาด้วย

       เมื่อคณะผู้ทรงพลังมาถึงเกาะสิงคปุระ ตัวอัครเสนาบดี เบนเดรังและคณะทั้งหมดก็จัดขบวนแห่งดงามด้วยสีสัน แห่แหนสารของรายาแห่งเปลัคมายังวัง เพื่อถวายแก่รายาแห่งสิงคปุระ ชั้นหัวหน้าก็นั่งหลังช้าง ชั้นบริวารก็เดินเท้าไปข้างๆ ช้างพาหนะ

       อัครเสนาบดีโค้งกายลงต่ำเพื่อเป็นการเคารพ และส่งสารถวายรายาแห้งสิงคปุระ แล้วทูลว่า " พระอนุชาทรงฝากความเคารพและระลึกถึงมาด้วย ทั้งทรงขอให้จัดการแข่งขันระหว่างผู้ทรงพลังของเปลัคและของสิงคปุระ หากบาดัง คนของพระองค์ชนะ เจ้านายของหม่อมฉันจะยอมถวายคลังมหาสมบัติแด่พระองค์ "

       รายาแห่งแคว้นสิงคปุระทอดพระเนตรดูเบนเดรัง ซึ่งตัวใหญ่กว่าบาดัง ทั้งท่าทางก็ดูจะแข็งแรงกว่าไม่น้อย "เราขอคิดดูก่อน " รับสั่งว่าอย่างนั้น " แล้วตกลงว่าอย่างไรจะบอกท่านพรุ่งนี้ "

       ครู่ต่อมาก็รังสั่งให้หาบาดังมา แล้วตรัสถามบาดังว่า คิดว่าจะเอาชนะในการท้าแข่งครั้งนี้หรือไม่ บาดังทูลว่า " พูดยาก " แล้วก็ทูลแนะขึ้นว่า " ควรรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงคืนนี้ เพื่อหม่อมฉันจะได้ทดลองกำลังของเบนเดรังดู ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่าหม่อมฉัน พระองค์ก็ทรงปฎิเสธไม่แข่งด้วย และก็จะไม่มีฝ่ายใดเสียเกียรติ "

       รายาเห็นว่าข้อเสนอของบาดังน่าฟัง คืนวันนั้นจึงจัดงานเลี้ยงใหญ่ให้แก่แขกเมือง ทุกคนนั่งขัดสมาธิบนพื้น ขณะที่กำลังกินเลี้ยงกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น บาดังก็เข้าไปนั่งใกล้เบนเดรัง

        เบนเดรังเอาขาทับซ้อนลงบนขาของบาดัง แล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงไปสุดแรงเกิด แต่บาดังก็ยกขาของเขา งัดขาของเบนเดรังได้อย่างง่ายดาย แล้วเอาขาของตนทับขาของเบนเดรังลงไปอย่างรวดเร็ว   เบนเดรังพยายามยกขาขึ้นอย่างสุดแรงก็ไม่สำเร็จ การประลองกำลังลับๆ ของแชมเปี้ยนทั้งสองนี้ไม่มีใครทันสังเกต

       เมื่อแขกเมืองกลับไปยังเรือของตนแล้ว รายาก็ตรัสถามบาดังว่า เขาคิดจะเอาอย่างไร บาดังทูลตอบ " ขอให้หม่อมฉันสู้กับเบนเดรังเถิด หม่อมฉันแน่ใจว่าต้องชนะเบนเดรังเด็ดขาด "

       ในเวลาเดียวกันนี้เอง เมื่อกลับไปถึงเรือ เบนเดรังก็พูดกับอัครเสนาบดีว่า " ช้าแต่ท่านอัครเสนาบดี บาดังแข็งแรงมากเหลือเกิน ถ้าเป็นไปได้ก็โปรดล้มเลิกการแข่งขันเสียเถิด ข้าพเจ้าเกรงว่าบาดังจะต้องชนะข้าพเจ้าแน่นอน "

       เช้าวันรุ่งขึ้น รายาเสด็จออกขุนนางในท้องพระโรง อัครเสนาบดีของแคว้นเปลัครอเฝ้าอยู่แล้ว รายากำลังจะกล่าวประกาศให้มีการแข่งขัน ก็พอดีอัครเสนาบดีทูลขึ้นว่า
" ข้าแต่รายา หม่อมฉันไตร่ตรองดูแล้วเห็นว่า ไม่เหมาะเสียแล้วที่จะมีการประลองฝืมือกันระหว่างเบนเดรังกับบาดัง เพราะไม่ว่าฝ่ายไหนจะมีชัยชนะก็ตาม ดูจะกลายเป็นว่าพระองค์กับพระอนุชาทรงท้าแข่งกันเอง แล้วไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ต้องเสียพระเกียรติ "

       รายาทรงยิ้มเพราะทรงทราบว่า ที่จริงนั้นอัครเสนาบดียอมรับแล้วว่า บาดังเป็นฝ่ายทรงพลังยิ่งกว่า จึงตรัสว่า " ดีแล้ว เมื่อท่านประสงค์อย่างนั้นก็ตามนั้นเถิด "

       คณะแขกผู้มาเยือนสิงคปุระก็กลับคืนแคว้นเปลัค รายาแห่งแคว้นเปลัคก็มิได้ตรัสประการใดถึงเรื่องที่การแข่งขันไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะอัครเสนาบดีได้มอบสารอันแสดงไมตรีอันดียิ่งจากพระเชษฐาคือรายาแห่งสิงคปุระมาถวาย

       จากนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าท้าบาดังอีกเลย ประชาชนทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าในแดนใกล้หรือแดนไกลต่างยอมรับว่า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนั้นไม่มีใครอื่นนอกจากบาดัง ชายที่เคยเป็นทาสจากเกาะเล็กๆ นามว่า สิงคปุระ
     

นิทานอาเซียน ประเทศประเทศฟิลิปปินส์ เรื่องกำเนิดค้างคาว
นานมาแล้ว แมวจับนกมาได้ตัวหนึ่ง มันก็นั่งกินนกจนอิ่มเหลือแต่ขนกองไว้ ทันใดนั้นแมวก็เห็นหนูวิ่งผ่านมา แมวตะปบไว้ได้ แมวยังรู้สึกอิ่ม จึงคิดว่าจะไว้กินหนูตัวนี้ตอนเย็น จึงวางหนูเอาไว้บนกองขนนก แล้วแมวก็ออกไปเดินเล่น หนูตัวนั้นเพียงแต่สลบไปยังไม่ตาย พอหนูรู้สึกตัวก็ขยับตัวจะคลานไปที่รังแต่รู้สึกประหลาดที่ลำตัว พอมองที่ลำตัวก็เห็นมีปีกอยู่ พอกระพือปีกก็บินได้ ทั้งนี้เพราะขนนกที่ตายยังมีเลือดอยู่ ขนที่ชุ่มเลือดจึงติดกับลำตัวหนูแน่น หนูมีปีกตัวนี้จึงบินไปที่กลุ่มนกและขออยู่กับนก และขอแต่งงานกับนางนก นางนกบอกว่า "ฉันไม่แต่งงานกับเธอหรอก รูปร่างเธอน่าเกลียดจริงๆเหมือนหนู" หนูมีปีกจึงบินกลับไปหาฝูงหนู ขออยู่กับหนู ฝูงหนูพากันขับไล่หนูมีปีกไม่ให้อยู่ด้วย หนูมีปีกรู้สึกอับอายยิ่งนักที่ตนไม่เป็นที่ยอมรับของทั้งหนูและนก จึงต้องซ่อนตัวอยู่ในตอนกลางวันไม่ให้ใครเห็นและออกหากินเฉพาะตอนกลางคืน ปัจจุบันเราเรียกหนูมีปีกนี้ว่า "ค้างคาว"


นิทานอาเซียน ประเทศลาว เรื่อง ภูท้าวภูนาง

กาลครั้งหนึ่ง มีนางยักษ์ตนหนึ่งชื่อว่ากินนา อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ใกล้ภูเขา นางกินนายังเป็นสาวไม่มีผัว อยู่ตัวเดียวเดี่ยวโดด ทุก ๆ เช้านางกินนาจะเดินไปตามป่า จะกลับมาบ้านต่อเมื่อถึงเวลาอาหาร นางจะเฝ้าดูน้ำที่ไหลไปตามซอกหินและต้นหญ้า บ่อยครั้งที่นางจะนั่งอยู่ใต้ต้นไทรที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้าง ทำให้ร่มเย็นแสนสบาย

       การที่นางกินนาใช้ชีวิตส่วนมากอยู่ในป่าเช่นนั้น ทำให้นางคุ้นเคยกับสัตว์ป่านานาชนิด บางครั้งจะเห็นนางนั่งเล่นอยู่กับนกจำนวนมาก นกเหล่านั้นจะร้องเพลงให้หล่อนฟัง และบางครั้งหล่อนก็จะขึ้นไปนั่งบนคอช้างป่า

       เช้าวันหนึ่ง นางกินนาได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในป่า ชายหนุ่มคนนั้นมีรูปร่างงดงามราวกับพระอินทร์(ลาวชอบเปรียบคนรูปงามว่างามราวกับอินทา ในต้นฉบับอธิบายไว้ว่า อินทาเป็นเทพเจ้าแห่งความงาม) หนุ่มผู้นั้นถือปืนไว้ในมือ นางกินนาใฝ่ฝันอยู่นานแล้วที่จะมีสามีสักคนหนึ่ง หล่อนจึงรู้สึกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อแลเห็นหนุ่มรูปงามคนนี้

        ขณะที่นางกินนากำลังรำพึงฝันหวานอยู่นั้น นางก็ระลึกขึ้นได้ว่านางเป็นยักษ์รูปร่างหน้าตาน่าเกลียด เมื่อชายหนุ่มเห็นเข้าก็คงจะไม่หลงรักอย่างแน่นอน อย่ากระนั้นเลยปลอมแปลงกายให้งดงามเสียก่อนจะดีกว่า นางจึงร่ายเวทมนต์กลายร่างจากยักษ์เป็นหญิงสาวรูปงาม มีเสน่ห์ยากที่หญิงใดจะเทียบเคียงได้ เมื่อแปลงกายแล้ว นางกินนาก็ออกเดินเข้าไปหาชายหนุ่มแล้วถามว่า   
   
       " พี่เข้ามาในป่าจะไปไหนหรือ”

       " ฉันมาล่าสัตว์” ชายหนุ่มตอบ    แล้วถามต่อไปว่า "เธออยู่ที่นี่คนเดียวหรือ”

       " จ้ะ ฉันอยู่คนเดียว อยู่กับนกกับต้นไม้”
     
       เสน่ห์ของนางกินนาทำให้ชายหนุ่มเริ่มจะหลงรัก เขาเดินเข้ามายืนอยู่ใกล้ ๆ แล้วชวนพูดคุยถึงเรื่องต่าง ๆ เมื่อเห็นหญิงสาวไม่รังเกียจ ก็ชวนไปนั่งคุยที่ลานหญ้าใกล้ลำธารชายหนุ่มได้บอกชื่อของเขาให้หล่อนทราบว่า เขาชื่อพุทเสนแล้วเล่าเรื่องราวให้หล่อนฟัง นางกินนาได้ขอร้องให้ชายหนุ่มพักอยู่กับหล่อนนาน ๆ

       พุทเสนก็ยอมตกลงด้วยความยินดี   พุทเสนอยู่กับนางกินนาด้วยความสุขสำราญ จนทำให้เขาลืมมารดาที่อยู่อย่างยากจนทางบ้าน

       วันหนึ่งนางกินนาได้บอกความลับของนางให้พุทเสนฟังด้วยความไว้วางใจ  " พี่ ฉันลืมบอกพี่ไปว่าในหีบใบนี้มีมะนาวที่ไม่รู้จักสุกไม่รู้จักเหี่ยวอยู่หลายผล เป็นมะนาววิเศษที่ตกทอดมาตั้งแต่ครั้งย่าครั้งยายของฉันทีเดียว มะนาวเหล่านี้มีอำนาจวิเศษมาก พี่เคยไปเที่ยวสวนของฉันบ้างไหม”    "ไม่เคยเลย” ชายหนุ่มตอบ "อยู่ที่ไหนล่ะ”   "อ๋อ”  กินนาตอบ  "อยู่ห่างจากนี่สักแปดสิบเส้นเห็นจะได้ แต่ฉันขอร้องอย่าได้คิดไปเลย มันมีอันตรายมาก”
พุทเสนไม่ตอบ แต่เขาก็ยังคงคิดถึงเรื่องสวนแห่งนี้

       วันหนึ่งเมื่อนางกินนาไม่อยู่ พุทเสนก็ถือโอกาสตอนที่นางกินนาไม่อยู่นั้นไปที่สวนที่นางกินนาห้าม ในสวนแห่งนั้นพุทเสนได้พบกระดูกมนุษย์ทับถมอยู่ในคูเกือบเต็ม พุทเสนนึกเดาเรื่องได้ตลอด นางกินนาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน เขาเกิดความกลัวขึ้นมาจึงวิ่งกลับมาบ้านแล้วเข้าไปในห้องเปิดหีบหยิบมะนาววิเศษออกมา เขาไม่รีรอให้เสียเวลารีบวิ่งออกจากป่าไปทันที

       หลังจากที่พุทเสนหนีไปได้ไม่นานเท่าไรนัก นางได้เข้าไปดูที่เก็บมะนาวไว้ พอรู้ว่ามะนาวหายก็นึกรู้ได้ทันทีว่าพุทเสนรู้ความลับและหนีไปแล้ว นางจึงกลับกลายเป็นยักษ์ตามเดิมแล้วไล่ตามพุทเสนไป
ด้วยกำลังยักษ์ นางกินนาวิ่งตามเพียงพักเดียวก็แลเห็นหลังพุทเสนไว ๆ นางกินนาร้องเรียกให้พุทธเสนหยุดพูดกันก่อน แต่พุทเสนไม่ยอมฟังเสียง เมื่อเห็นนางกินนาใกล้เข้ามา พุทเสนก็ล้วงเอามะนาวในย่ามออกมาผลหนึ่งแล้วขว้างไปตรงหน้านางกินนา ทันใดนั้นก็เกิดเป็นกองไฟกองมหึมาลุกลามกั้นนางกินนาไว้ ได้ยินแต่เสียงนางกินนาร้องเรียกแต่มองไม่เห็นตัว เพราะเปลวไฟลุกโพลง

       พุทเสนไม่รอช้าขณะที่ไฟกำลังลุกโชติช่วงอยู่นั้น เขาก็วิ่งหนีต่อไป แต่หนีไปไม่ได้ไกลเท่าไร ก็ได้ยินเสียงนางกินนาร้องเรียกใกล้เข้ามา นางกินนาได้ใช้เวทมนต์ดับไฟสามารถไล่ตามเขามาได้อีก พุทเสนเห็นจวนตัวจึงหยิบมะนาวอีกผลหนึ่งออกมาจากย่ามแล้วขว้างไป คราวนี้เป็นทะเลสาบกว้างใหญ่มองแทบไม่เห็นฝั่ง

       นางกินนาถึงจะเหนื่อยอ่อนแต่ก็ยัง ไม่ละความพยายามกระโจนลงน้ำว่ายข้ามทะเลสาบมาอย่างกล้าหาญ เมื่อนางกินนามาถึงฝั่งตรงข้าม นางก็เหนื่อยอ่อนเต็มที นอนหลับอยู่ริมตลิ่งนั่นเอง นางไม่สามารถจะขยับเขยื้อนกายต่อไปได้อีก นางได้อ้อนวอนต่อสวรรค์ ขอให้ลงโทษต่อสามีที่ไม่ซื่อสัตย์ของนาง เมื่อนางอ้อนวอนสิ้นสุดลงดวงตาของนางก็ปิดสนิทนางกินนาขาดใจตายเสียแล้ว

       เมื่อพุทเสนแลเห็นนางกินนานอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนกายเช่นนั้นก็นึกว่านางคงจะเหนื่อย อ่อนกำลังไม่สามารถจะทำอะไรเขาได้แล้ว นึก ๆ ไปพุทเสนก็เกิดสงสารนางกินนาขึ้นมา เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน นางกินนาได้เอาอกเอาใจเป็นอย่างดี นางกินนารักพุทเสนด้วยใจจริง เมื่อคิดถึงความหลังขึ้นมาอีก พุทเสนก็ใจอ่อนเดินกลับไปหานางกินนาที่นอนอยู่ และพอรู้ว่านางกินนาขาดใจตายไปแล้ว พุทเสนก็ทรุดตัวลงข้าง ๆ ร่างของนางกินนา พยายามพยาบาลจะให้นางฟื้นขึ้นมาอีก แต่ไม่สำเร็จพุทเสนเสียใจมาก เขาล้มฟุบลงบนร่างของนางกินนา และขาดใจตายตามไปอีกคนหนึ่ง
       ร่างของนางกินนาและพุทเสน คงอยู่ริมแม่น้ำแห่งนั้น และเมื่อหลายร้อนปีผ่านไป ร่างของทั้งสองก็กลายเป็นภูเขาสองลูก ซึ่งเรียกกันว่า ภูท้าว และ ภูนาง ยังคงมีอยู่ใกล้ ๆ กับหลวงพระบางในเวลานี้

นิทานอาเซียน ประเทศกัมพูชา เรื่อง กลิ่นอาหาร
มีชายยากจนคนหนึ่ง อาศัยอยู่ใกล้บ้านเศรษฐี โดยปลูกเป็นกระท่อมเล็ก ๆ เขาจะย้ายกระท่อมที่พักนี้ตามทิศทางลม เพราะชายผู้นี้จะคอยสูดกลิ่นอาหารที่มาจากบ้านเศรษฐี เศรษฐีสังเกตเห็นชายยาจกนี้ย้ายกระท่อมบ่อยจึงให้คนใช้ไปสืบถาม ชายยาจกก็บอกไปตามความจริงว่าย้ายตามฤดูกาลของทิศทางลม เพื่อจะสูดกลิ่นอาหารจากบ้านเศรษฐี
       เมื่อเศรษฐีทราบจากคนใช้เช่นนั้น ก็บอกกับชายยาจกว่า "เจ้ามีชีวิตอยู่ได้เพราะกลิ่นอาหารจากบ้านเรา เจ้าจะต้องมาเป็นคนใช้บ้านเรา" ชายยาจกไม่ยอม เศรษฐีจึงนำชายยาจกไปฟ้องผู้พิพากษา ผู้พิพากษาตัดสินให้ชายยาจกเป็นคนใช้ของเศรษฐีแต่ชายยาจกไม่ยอม ขอร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ เมื่อพระมหากษัตริย์ได้ทราบเรื่องราวก็ทรงรับสั่งให้อำมาตย์นำผ้าขาวมาวางไว้กลางท้องพระโรง แล้วทรงให้นำเงินไปวางไว้ในผ้าขาว แล้วรับสั่งกับเศรษฐีว่า "เศรษฐีจงรับเงินค่าตัวของชายยาจกไปเถิด"
       เมื่อเศรษฐีรับเงินไปแล้ว พระมหากษัตริย์ตรัสถามเศรษฐีว่า "เมื่อเศรษฐีหยิบเงินค่าตัวของชายยาจกนั้น ชายยาจกก็เห็นท่านหยิบเงิน แต่เขามีส่วนได้รับเงินจากการมองเห็นหรือไม่?" เศรษฐีตอบว่า "ไม่ได้รับเงินจากการมองเห็นพระเจ้าข้า" พระมหากษัตริย์จึงตรัสว่า "ก็เปรียบได้กับอาหารของเศรษฐี ถึงใครจะสูดกลิ่นอาหาร แต่อาหารก็ยังคงเดิมไม่สูญหายไป เพราะฉะนั้นเศรษฐีจะเอาชายยาจกเป็นคนรับใช้ไม่ได้" ทั้งเศรษฐีและชายยาจกก็กลับไปบ้านของตนเองด้วยความยินดี

หมาป่ากับกุ้งฝอย
       นานมาแร้วในฤดูแล้งที่ชายป่าแห่งหนึ่ง หมาป่าตัวหนึ่งเดินหาอาหารมาถึงบึงน้ำแห่งหนึ่งซึ่งแห้งขอดมีเพียงแอ่งน้ำเล็ก ๆ ติดก้นบึง มีกุ้งฝอย หอย ปู ปลา อยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก
       หมาป่าเลียปากผลางคิดว่า เดี๋ยวจะได้อิ่มท้องแล้ว หลังจากเดินหาอาหารมานาน เมื่อตั้งท่าจะจับกิน กุ้งฝอยตัวหนึ่งตะโกนขึ้นว่า "เดี๋ยวก่อนท่านหมาป่า ถ้าจะกินพวกเราให้อร่อย ท่านน่าจะเอาพวกเราไปล้างโคลนออกให้ตัวเกลี้ยงซะก่อนนะ ”
       หมาป่าเห็นด้วย กุ้งฝอยจึงบอกให้หมาป่าหมอบตัวลงในน้ำเพื่อให้บรรดาสัตว์เกาะตามเส้นขน แล้วพาไปยังหนองน้ำแห่งใหม่ที่มีน้ำอยู่เต็ม "เอาล่ะ เราจะล้างตัวรอท่านที่นี่ก่อน ท่านรีบกลับไปพาพวกที่เหลือมาให้หมดเถอะ จะได้กินรวดเดียวเสียให้อิ่มแปล้ไปเลย”
       หมาป่าก็ทำตามโดยไม่เฉลียวใจแม้แต่น้อย เมื่อกุ้งฝอย หอย ปู ปลา ย้ายมากันหมดแล้ว พวกมันก็พร้อมใจกันดำน้ำหายไปในพริบตา ทิ้งให้เจ้าหมาป่ายืนโมโหกระฟัดกระเฟียดที่รู้ว่าตัวเองโดนหลอกใช้ !!!
« Last Edit: July 09, 2012, 12:12:14 pm by admin »

admin

  • Administrator
  • Jr. Member
  • *****
  • Posts: 64
    • View Profile
Re: นิทานอาเซียน 10 ประเทศ
« Reply #2 on: July 09, 2012, 12:12:37 pm »
นิทานอาเซียน ประเทศเวียดนาม เรื่อง จอมกะล่อน

กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง คนพากันเรียกว่า จอมกะล่อน เขาเป็นเด็กฉลาด แต่ก็เหมือนกับชื่อของเขาที่บอกกล่าวไว้ล่วงหน้า คือ เขาใช้ความฉลาดส่วนใหญ่ไปในการเที่ยวพูดโป้ปดมดเท็จต่างๆนานา เขาสนุกสนานกับการหลอกคนอื่นได้รอบบ้าน ไม่มีผู้ใดรอดจากการเป็นเหยื่อให้เขาหลอกต้มไปได้เลย แม้แต่ป้าและลุงผู้ซึ่งเลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่หลังจากพ่อแม่ของเขาตายจากไป

       วันหนึ่งลุงของเขาออกไปไถนา ซึ่งอยู่ห่างจากบ่านไปไม่ไกลนัก ส่วนป้าก็อยู่บ้านทำงานบ้าน ขณะที่เขาเฝ้าดูป้าทำอะไรง่วนอยู่ในครัว พ่อจอมกะล่อนก็เกิดความคิดแวบขึ้นมา นึกกลวิธีที่จะล้อป้าและลุงของตนออกมาได้อย่างหนึ่ง เขารีบย่องออกจากบ้านวิ่งไปท้องนาที่ลุงกำลังไถอยู่

       "ลุงครับ ลุง" เขาตะโกนเรียกลุงเมื่อเขาวิ่งไปถึงนา

       "กลับบ้านเดี๋ยวนี้เร็วๆเข้า ป้าตกกระไดลงมา เลือดโชกทีเดียว ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี"

       ลุงเผ่นผลุงกลับบ้านทันทีโดยไม่ทันพูดอะไรสักคำ แต่พ่อจอมมุสากลับวิ่งไปตามทางลัดตัดถึงบ้านก่อนหน้าลุงจะไปถึง เขาวิ่งถลันเข้าไปในบ้าน ตะโกนลั่น

       "ป้าครับป้า ลุงถูกควายขวิดที่ท้องนาแน่ะ ดูเหมือนขวิดเอาท้องทะลุเลย ไปเร็วๆเถอะครับเดี๋ยวลุงจะตายเสีย"

       เขาพูดยังไม่ทันจบ ป้าก็วิ่งถลาออกจากบ้านไปแล้ว เขามองตามหลังป้าไปแล้วก็หัวเราะยิงฟันสนุกสุขใจเป็นกำลัง และเข้าไปหลบซ่อนอยู่หลังบ้าน

       ป้าออกวิ่ง วิ่งอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ขาจะพาตัวแกไปไหว กระนั้นก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ทันใจ พอถึงหัวเลี้ยวตรงมุมถนน ป้าก็ชนโครมเข้าให้กับใครคนหนึ่ง สามีของป้านั่นเอง กำลังหอบแฮ่กๆเหงื่อโซมกาย ทั้งคู่มองดูกันอย่างตะลึงพรึงเพริดพูดไม่ออก

       "ไอ้จอมโกหกนั่นอีกแล้ว" ทั้งสองคนรู้ทันทีว่าโดนเล่ห์เก๊ของเจ้าหลานชายเข้าอีกแล้ว ทั้งลุงและป้าโมโหโกรธาใหญ่

       "ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเสียทีที่จะยอมให้อ้ายตัวร้ายมันหลอกเรา" ลุงพูดออกมา

       แล้วทั้งสองคนก็เข้าบ้าน พบพ่อจอมกะล่อนซ่อนอยู่หลังบ้าน จึงลากตัวมาใส่ลงในกรงไม้ไผ่กรงใหญ่ ปิดฝาเสียแน่นหนา

       "อยู่ในนี้แหละ จนกว่าตะวันจะตกดิน" ลุงว่า "แล้วป้าของเจ้ากับข้าจะลากกรงไปโยนลงแม่น้ำ เจ้าจะได้ไม่เที่ยวพูดโกหกพกลมหลอกใครๆอีก"
       ตกเย็นป้าและลุงก็หามกรงไปที่แม่น้ำ ขณะที่โยนลงในแม่น้ำ พ่อจอมกะล่อนก็ร้องออกมาว่า

       "คุณลุงคุณป้าครับ ผมรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ผมก็พร้อมแล้วที่จะก้มหน้ารับโทษ แต่ได้โปรดทำอะไรให้ผมสักอย่างเป็นครั้งสุดท้ายเถิดครับ ผมมีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อศิลปะแห่งการพูดปด ผมแอบเก็บไว้ข้างหลังกระบุงข้าวที่ในบ้าน ขอหนังสือเล่มนั้นให้ผมก่อนเถิดครับ ผมจะได้เอาไปอ่านในนรกด้วย"

       ทั้งลุงทั้งป้าต่างก็ไม่ใจร้ายที่จะปฎิเสธคำขอร้องสุดท้ายของหลานชายได้ลงคอ นอกจากนั้นลุงก็ชักอยากจะรู้ว่าหนังสือเล่มนั้นบอกไว้ว่ากระไรบ้าง ลุงและป้าจึงกลับบ้านไปเอาหนังสือมาให้หลานชาย ขณะที่ยอดกระล่อนคอยอยู่ในกรง ชายตาบอดคนหนึ่งก็เดินมาตามริมแม่น้ำ เด็กหนุ่มก็ตะโกนเรียก

       "คุณตาบอดครับ โปรดมาทางนี้หน่อยครับ ถ้าคุณอยากให้นัยน์ตามองเห็นอีก"

       ชายตาบอดได้ยินเสียงเรียกก็คลำทางมาที่กรงไม้ไผ่ เด็กหนุ่มก็บอกว่า

        "เร็วๆหน่อยครับ รีบแก้เชือกที่ฝากรงก่อน แล้วผมจะบอกวิธีรักษาตาของคุณให้หายบอด"

        ชายตาบอดเอามือคลำๆกรงไป จนในที่สุดก็จัดการเปิดฝาออกมาได้ ทันทีที่ฝากรงเปิด พ่อจอมกระล่อนก็กระโดดผลุงออกจากกรงวิ่งอ้าวไปเสียแล้ว เมื่อลุงกับป้ากลับมาหมายจะบอกหลานชายว่าหาหนังสือไม่พบ หลานชายก็หายไปจากกรงเสียแล้ว เห็นแต่ชายตาบอดมายืนอยู่แทนที่ คอยรับรู้ว่าจะรักษานัยน์ตาด้วยวิธีใด ทั้งสามคนโดนตุ๋นอีกครั้งหนึ่งจนได้

       ยอดกระล่อนวิ่งฝ่าเข้าไปในกอไม้ไผ่กอหนาใกล้แม่น้ำนั้น ขณะที่เขาเดินเที่ยวสำรวจหาทางออกจากกอไผ่ บังเอิญไปพบหม้อเก่าๆเข้าใบหนึ่ง ในหม้อมีทองคำเต็ม โชคดีเสียนี่กระไร เขาเอาทองกลับบ้านไปให้ป้ากับลุง

       น่าขอบใจมหาสมบัตินั่นแท้ๆ ครอบครัวของเขาร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว ตอนนี้ป้ากับลุงยอมรับแล้วว่า ยิ่งดุด่าหลานชายเท่าใด ก็ไม่ทำให้เด็กคนนั้นเปลี่ยนนิสัยของเขาได้เลย ทั้งสองคนจึงคิดว่า บางทีถ้าเราหาผู้หญิงที่ดีๆ ให้แต่งงานกับมันสักคนหนึ่ง เจ้าเด็กหนุ่งนี่อาจยุติการปั้นน้ำเป็นตัว เลิกเที่ยวเตร่ไม่ทำการทำงานเสียได้กระมัง

       แกจึงให้หลานชายแต่งงานกับสาวนางหนึ่งในหมู่บ้าน ดูท่าว่าการแต่งงานจะช่วยแก้ปัญหาไปได้ระยะหนึ่ง แต่สองสามเดือนต่อมาป้าและลุงเกิดตายลง พ่อจอมกระล่อนเริ่มเที่ยวโป้ปดมดเท็จหลองโกงผู้คนต่อไปเหมือนอย่างเคยอีก

       วันหนึ่งเขาเข้าไปเตร็ดเตร่อยู่ในป่า ไปพบเอาลูกเสือสองสามตัวนอนอยู่บนหญ้า เนื่องจากเขาเป็นหนุ่งนิสัยเลว จึงจับลูกเสือเหล่านั้นมาหักอุ้งเท้ามันเสีย ลูกเสือพากันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พลัน เขาก็ได้ยินเสียงคำรามอย่างน่าสะพึงกลัวออกมาจากที่ใดที่หนึ่งใกล้ๆ คงเป็นแม่ของลูกเสือเหล่านั้นนั่นเอง จอมมุสาจึงรีบวิ่งไปแอบอยู่หลังพุ่มไม้..........

      ชั่วครู่ต่อมาเสือแม่ลูกอ่อนก็วิ่งมาหาลูก พอเห็นลูกกำลังเจ็บปวดทุรนทุรายเพราะอะไร มันก็คาบลูกไปที่โคนต้นไม้เล็กๆต้นหนึ่ง ซึ่งมีใบสีเขียวๆ มันทึ้งใบไม้สองสามใบจากต้นใส่ปากเคี้ยว แล้วก็คาบใบไม้ในปากออกใส่อุ้งเท้าของลูกๆ แล้วพ่อยอดกระล่อนก็อัศจรรย์ใจเหลือ ที่ภายในไม่กี่นาทีแผลของลูกเสือก็หายเป็นปลิดทิ้งเจ้าหนุ่มคอยทีอยู่จนเสือทั้งแม่ลูกไปแล้ว เขาก็ขุดต้นไม้นั้นนำมาบ้าน เอามาปลูกในสนาม ตั้งชื่อว่า ต้นไทร

      นับแต่วันนั้นมา เขาเฝ้าดูแลต้นไม้อย่างระวังระไว บอกแก่ภรรยาว่า เทพเจ้าให้ต้นไม้นี้แก่เขา ใบของมันรักษาแผลได้ทุกชนิด รักษาโรคภัยได้สารพัดแม้กระทั่งช่วยคนตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมาก็ยังได้ ขอให้ภรรยาของเขาคอยรักษาต้นไม้ให้สะอาดสะอ้าน

       " อย่าเอาขยะมูลฝอยไปเทที่โคนต้นนะ ถ้าขืนทำต้นไม้จะเหาะหนีไปเสีย เขาพร่ำเตือนแล้วเตือนอีก

       แรกๆภรรยาก็ทำตามที่สามีบอก แต่ไม่ช้านางก็ขัดใจกับสามีที่รักต้นไม้มากกว่าตัวนาง นางเบื่อที่จะฟังคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าของสามีอลู่แล้วด้วย วันหนึ่งเกิดวิวาทกันขึ้นเรื่องต้นไม้ นางจึงอารมณ์เสียสุดจะยับยั้ง ตะโกนใส่เขาว่า " ข้าจะเอาขยะไปเทใส่ต้นไม้เสียเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าข้าอยากจะทำ"

       ด้วยความโมโหขึ้นมา นางจึงเอาถังใส่ขยะเต็มออกไปจากครัว เทพรวดลงไปที่โคนดังโครมใหญ่ ทันใดนั้นต้นไม้ก็เริ่มสั่นไหวไปทั้งต้น ค่อยๆถอนรากถอนโคนขึ้นจากดิน ค่อยๆลอยขึ้นไปในอากาศ จอมกระล่อนแลเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็วิ่งถลันไปที่ต้นไม้ เอามือฉวยรากยึดได้รากหนึ่ง

      แต่ต้นไม้ก็คงลอยขึ้นไปเรื่อยๆลิ่วๆขึ้นสู่ท้องฟ้า มีพ่อจอมกระล่อนห้อยต่องแต่งอยู่ที่รากไม้ ต้นไทรลอยลิ่วขึ้นไปจนในที่สุดก็ถึงดวงจันทร์ ต้นไม้จึงติดอยูในดวงจันทร์ตั้งแต่นั้นตลอดมา

       ถ้าท่านมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์ก็จะแลเห็นเงาต้นไทรปรากฎอยู่ภายในดวงจันทร์ มียอดกระล่อนนั่งพิงอยู่ที่โคนต้น โดยเฉพาะในเวลาที่ท้องฟ้าใสสะอาด และจันทร์เพ็ญทอแสงสุกสกาว ประชาชนชาวเวียดนามว่าไว้ดังนี้

admin

  • Administrator
  • Jr. Member
  • *****
  • Posts: 64
    • View Profile
Re: นิทานอาเซียน 10 ประเทศ
« Reply #3 on: July 09, 2012, 12:14:01 pm »
นิทานอาเซียน ประเทศพม่า เรื่อง หุ่นทั้งสี่



ครั้งหนึ่งมีช่างทำหุ่นและภรรยา ทั้งคู่มีบุตรชายชื่อ อ่อง วันหนึ่งอ่องตัดสินใจจะออกจากบ้านเพื่อเที่ยวแสวงหาโชคในแดนไกล เมื่อบิดาอนุญาตแล้ว อ่องก็เตรียมตัวเดินทาง มารดาจัดหาอาหารที่จะเก็บเอาไว้ได้นานวันให้เอาไปกินตามทาง บิดาก็ให้หุ่นไปสี่ตัวเพื่อเก็บเอาไว้เป็นเพื่อนและไว้ช่วยเหลือกันตามทาง

       หุ่นตัวแรกแกะเป็นชาวสวรรค์ ให้ชื่อว่า "เทวา "แต่งด้วยเสื้อขาวสะอาดแกมสีทองห้อยยาวเป็นจีบพริ้วเหมือนปุยเมฆ หุ่นตัวที่สองแกะเป็นยักษ์ใหญ่ให้ชื่อว่า "ยักขา" มีเกล็ดสีเขียวมรกตห่อหุ้มทั่วร่างกาย มีอินทนูเหมือนแหลมทอง แหลมเปี๊ยบงอกออกมาจากไหล่ทั้งสองและจากศอกทั้งสอง หุ่นตัวที่สามแกะเป็นครึ่งคนครึ่งเทพให้ชื่อว่า "ซอคะยี" สีกายแดงเป็นประกายดังเพลิงปนด้วยจุดสีทอง หุ่นตัวสุดท้ายแกะเป็นดาบสให้ชื่อว่า "เขมะ" ใส่เสื้อยาวเรียบๆ ถือไม้เท้ายาวและอุ้มบาตร

       พอเตรียมตัวเสร็จ อ่องก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าบิดามารดา พนมมือทั้งสองเป็นรูปดอกบัวตูม ก้มศีรษะลงไหว้บิดามารดาสามครั้ง บิดามารดาก็อวยชัยให้พร แล้วอ่องก็ออกเดินทาง คอนไม้ไผ่ลำแข็งแรงลำหนึ่งไว้บนไหล่ ปลายไม้ข้างหนึ่งคล้องห่อเสื้อผ้าอาหาร อีกข้างคล้องหุ้นทั้งสี่ตัวไว้

       วันแรกของการเดินทางนั้น เมื่อเงามืดยามเย็นเริ่มปกคลุมพื้นดิน อ่องรู้สึกว่าตัวเขากำลังเดินอยู่ในป่าอันมืดครึ้ม เขามองหาถิ่นที่จะพักแรมในตอนกลางคืน เห็นพื้นดินใต้ร่มไทรต้นหนึ่งน่าสบายนัก แต่อ่องก็หันไปปหารือเทวาก่อนว่า ควรจะพักนอนตรงนั้นหรือไม่ เขาตะลึงเพราะอัศจรรย์ใจที่เทวามีชีวิตขึ้นมาต่อหน้าต่อตา พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอันเมตตาว่า "อ่องเอ๋ย เจ้าต้องใช้นัยน์ตาของเจ้า แล้วคิดเอาเองเถิด"

       อ่องเหลียวมองรอบๆอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็แลเห็นรอยเท้าเสือใต้ต้นไทร เขาจึงเลิกคิดที่จะนอนบนใบไม้อันอบอุ่นอ่อนนุ่ม แต่ปีนขึ้นบนต้นไม้และนอนอย่างไม่เป็นสุขตลอดคืนนั้น เขานึกขอบคุณคำเตือนของเทวา เพราะในกลางดึกเงียบสงัดนั้นเอง อ่องได้เห็นเสือโคร่งตัวใหญ่กับเมียของมันมาสูดกลิ่นเสียงฟุดฟิดอยู่ตรงบริเวณใต้ต้นไทร

       อ่องเดินทางต่อไปอีกสองสามวัน ก็มาพักแรมอยู่บนเนินเหนือหนทางเดินบนเขา เมื่ออ่องมองไปมองมาก็แลเห็นกองเกวียนกำลังมุ่งมาตามทางนั้น เขารู้ว่ากองเกวียนกองนี้ต้องบรรทุกของมีค่ามาจากแดนไกล ทันใดความโลภก็เข้าครอบงำ อ่องอยากได้สมบัติมาเป็นของตน เขาจึงหารือยักขาว่าทำอย่างไรจึงจะได้ของมีค่าเหล่านั้น ยักขาตอบว่า

       "อ่องเอ๊ย สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา เจ้าก็ต้องเอาสิ่งนั้นให้ได้ ไม่มีอะไรจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากว่าเจ้ามีพลังและอำนาจ ดูนี่แน่ะ"
       แล้วยักขาก็กระทืบเท้าขวาลงบนพื้นดิน แผ่นดินก็หวั่นไหวราวกับเรือต้องพายุ เสียงก้อนหินใหญ่น้อยกระแทกกันดังสนั่นครั่นครืนเสียงกู่ก้องด้วยความตกใจกลัวเมื่อเนินเขาด้านหนึ่งทรุดถล่มลงขวางทาง ชาวเกวียนวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เผ่นเตลิดเปิดเปิงไปทุกทิศทุกทางจนหายลับไปจากสายตา ยักขาเอ่ยขึ้น "เห็นไหมล่ะ อ่อง คนเกวียนหนีไปหมดแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของเจ้าแล้ว"

       อ่องวิ่งลงไปยังทางเดินพร้อมกับร้องว่า "เป็นของเราทั้งนั้น ของเราทั้งนั้น" เขาวิ่งโผจากเกวียนเล่มหนึ่งไปยังเกวียนอีกเล่มหนึ่ง สองแขนก็หอบหีบที่เต็มไปด้วยเงินทอง ผ้าต่วน ผ้าไหม พรมปูนั่ง พรมปูพื้นห้อง

       ทันใดนั้น อ่องก็ได้ยินเสียงสะอื้นกระซิกๆ เขาแปลกใจมากจึงเหลียวหารอบๆ อยู่นั่นเอง! หญิงสาวผู้หนึ่งขดตัวซุกอยู่ในเกวียนเล่มหนึ่ง เธอคือ มาลา เป็นลูกสาวเจ้าของเกวียนต้องถูกทิ้งไว้ตามลำพัง อ่องพยายามปลอบโยนเธอ สัญญาว่าจะดูแลเธอให้ปลอดภัย แต่เธอกลับโกรธมากเกรี้ยวกราดเอาว่า
       "แกอยากได้ตัวฉันด้วยก็เชิญซิ เอาไปเสียพร้อมๆกับทรัพย์สินที่แกขโมยนี่แหละ แต่ฉันจะไม่ยอมพูดจากับแกเป็นอันขาด แกไอ้โจรปล้น ไอ้หัวขโมย" อ่องไม่รู้ว่าจะทำฉันใดดี เขากำลังคิดหาคำพูดว่าจะพูดอย่างไร พอดียักขาพูดขึ้นว่า

       "มาเถิดน่า เจ้าหนุ่มน้อย อย่ามัวเสียเวลานั่งพูดกับหญิงขี้แยหน่อยเลย ผู้ชายต้องเข้มแข็งไว้ ความเข้มแข็งเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจและพลัง มาเถอะ เรายังต้องมีอะไรจะต้องทำกันอีกมากนัก" จริงทีเดียว อ่องยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องทำ เมื่อได้ทรัพย์สมบัติที่อยากได้มาแล้ว ไม่เพียงแต่จะเก็บรักษาไว้เท่านั้น ยังต้องทำให้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นงอกเงยขึ้นอีกด้วย

       ดังนั้นเขาจึงขอให้ซอคะยี หุ่นตัวที่สามช่วยเขา "บอกหน่อยเถิด ท่านจะช่วยอะไรฉันได้บ้าง" แทนคำตอบซอคะยีกระโดดแผล็วขึ้นไปบนอากาศ กวัดแกว่งไม้เท้าสีแดงอยู่ไปมา โลกธาตุทั้งหลายพลันอ่อนเชื่องมือลง ก้มหลังที่เทียมอานไว้ลงรับใช้อ่องแต่โดยดี อ่องควรจะเป็นบุรุษที่เสวยสุขมากที่สุดในโลก แต่การก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ มาลาไม่ยอมพูดจาด้วยเลย แม้อ่องจะประเคนของขวัญซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งงดงามให้เธอเท่าใด มาลาก็ยังไม่เปิดปาก ไม่หวั่นไหวใดๆทั้งสิ้น

       ในที่สุด มาลาก็เอ่ยปากกับอ่องในวันหนึ่งว่า บิดาของเธอมาตามหาเธอที่ปราสาทของอ่อง เพราะอ่องขโมยทรัพย์สมบัติของบิดาเธอเกลี้ยง บิดาของเธอจึงยากจนข้นแค้นยิ่งนัก และเนื่องจากทรัพย์สมบัติที่อ่องปล้นมานั้น บัดนี้ก็เพิ่มพูนขึ้นมากมายหลังจากที่อยู่ในครอบครองของอ่องแล้ว เธอจึงขอร้องให้อ่องคืนส่วนที่เป็นของบิดาของเธอเสียเถิด

       อ่องเต็มใจทีเดียวที่จะทำตามคำขอร้องของมาลา เขามีเงินทองมากมายสามารถคืนทรัพย์สินส่วนของบิดาของเธอ และแถมกำไรบางส่วนที่เขาทำให้เพิ่มพูนขึ้นมาอีกด้วยก็ยังได้ แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน อ่องขอให้มาลากรุณาแก่เขาสักอย่างหนึ่งคือ ให้เธออยู่กับเขาต่อไปได้หรือไม่ ยักขาและซอคะยีคัดค้านแผนการนี้ของอ่องเสียงแข็ง หุ่นทั้งสองเอ่ยว่า

       "ถ้าเจ้าจำยอมเสียครั้งหนึ่งแล้ว มันจะไม่มีวันสิ้นสุดดอก คำขอร้องอื่นๆก็จะตามมาอีกเรื่อยๆ จำไว้นะ ในโลกแห่งเงินตราและอำนาจนี้ การเป็นบุคคลผู้อ่อนแอจะไม่ก่อให้เกิดผลดีเลย คนที่จำยอมเขาอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่ได้รับผลดีด้วย"

       ทีแรกอ่องก็พยายามจะโต้แย้ง แต่ยักขาและซอคะยีกลับโต้หนักขึ้น ทั้งคู่เยาะเย้ยความอ่อนแอของอ่อง เย้ยแล้วเย้ยอีกให้อ่องได้อาย ขณะกำลังโต้แย้งถกเถียงกันอยู่นั้น คนรับใช้ก็เข้ามาแจ้งแก่อ่องว่า มาลาและบิดาพากันไปแล้วโดยไม่รอเอาทรัพย์สมบัติใดๆ

       คราวนี้อ่องเองจึงสำนึกได้ว่า ต่อแต่นี้ไปเขาจะมีแต่ทุกข์ระทม เศร้าหมองและว้าเหว่ แต่ก็พลันหวนนึกขึ้นได้ว่าเขายังมีหุ้นตัวสุดท้ายที่บิดาให้แก่เขานานมาแล้ว คือตัวที่ชื่อว่า เขมะ อ่องจึงไปขอคำแนะนำจากเขมะ แต่เขมะนั้นไม่มีพลัง ไม่มีอำนาจและทรัพย์สินมีค่าใดๆเลย มีแต่เสื้อ ไม้เท้าและบาตร เขมะกล่าวกับอ่องว่า "แต่เราไม่เห็นจะสำคัญ เราไม่เคยรู้จักความไร้สุข เพราะเราสงบต่อโลก ดังนั้นกายใจเราจึงสงบลงด้วย"

       อ่องตกลงใจจะลองมีชีวิตอยู่อย่างดาบส เขาละปราสาทออกท่องเที่ยวพเนจรไปทั่วดินแดน ขอบริจาคจากชนที่มีน้ำใจกรุณาต่อเขา ก็แปลกพอใช้อ่องกลับรู้สึกเป็นสุขขึ้นกว่าเดิมมาก มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขายังคงปรารถนาอยู่ คืออยากจะได้พบมาลาและบิดาของเธอเพื่อจะขอขมาลาโทษแย่งนอบน้อม และขอให้ทั้งสองให้อภัยแก่เขา

       วันหนึ่งอ่องไปยินอยู่ที่หน้าประตูบ้านของสามัญชนแห่งหนึ่ง คอยว่าจะมีใครออกมาทำบุญทำทานบ้าง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกมา นัยน์ตาของอ่องเพ่งลงต่ำอยู่ตลอดเวลา จึงเห็นแต่มือสองข้างใส่อาหารลงในบาตร เป็นมือขาวบางจนเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงินอ่อนใต้ผิว นิ้วเรียวงามนี้แหละที่เขาอยากแตะต้องมานมนานแล้ว อ่องจึงเงยหน้าขึ้น อุทานออกมาว่า "มาลา เธอจำไม่ได้หรือว่าฉันคือใคร อ่องอย่างไรเล่า ฉันมาขออภัยโทษ พ่อของเธออยู่ไหน"

       อ่องถูกนำตัวเข้าไปในบ้านบิดาของมาลา เขาขอขมาคนทั้งสองอย่างอ่อนน้อม ซึ่งทั้งมาลาและบิดาของเธอก็พร้อมที่จะให้อภัย คนทั้งสามสนทนากันหลายเรื่องในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในที่สุดมาลาและบิดาของเธอก็ยินยอมกลับปราสาทกับอ่อง เมื่อทั้งสามคนใกล้จะถึงประตูปราสาท สหายของอ่องคือหุ่นทั้งสี่ก็ออกมาต้อนรับ เทวากล่าวว่า

       "ขอต้อนรับที่ได้กลับบ้าน บัดนี้เจ้าก็ได้ทราบแล้วว่าทรัพย์สินมีค่าและอำนาจนั้น ย่อมนำแต่ภัยพิบัติมาให้ ไม่เคยนำความสุขสงบความสบายกายสบายใจมาให้เลย เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะรู้จักใช้ปัญญาอันฉลาด ผ่อนพละอำนาจแบบยักขาลงเสียบ้าง และรู้จักใช้ความรักและเมตตาธรรมช่วยให้ฤทธิ์เดชแบบซอคะยีอ่อนโยนลงเสียบ้าง ทีนี้ลองฟังเขมะดูบ้างสิ"
       ดาบสเริ่มด้วยคำว่า "อ่องเอ๋ย เจ้าเคยมีแล้วทั้งทรัพย์และอำนาจ แต่เจ้าก็ได้เห็นด้วยตาตนเองแล้วว่า มันมิได้นำความสุขสบายมาสู่เจ้าเลย บัดนี้เจ้าได้ทั้งทรัพย์และอำนาจคืนมาแล้วเจ้าก็คงเป็นสุขละ แต่มิใช่สุขที่เกิดจากมัน เพราะถึงมีมันก็ไม่เคยเป็นสุขเพราะมัน ทรัพย์และอำนาจนั้น ตัวมันเองไม่ได้นำความดีหรือความชั่วมาให้ มันสำคัญที่ตัวเจ้าจะรู้จักใช้มันด้วยวิธีใด เจ้าเองก็ได้บทเรียนอันยิ่งใหญ่ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องนำทางชีวิตของเจ้าแล้ว"

       อ่องขอบใจเพื่อนเกลอทั้งสี่อย่างซาบซึ้ง แม้แต่ยักขาและซอคะยีเขาก็ต้องขอบใจด้วย มิใช่เป็นความผิดของยักขาและซอคะยี อ่องเองต่างหากที่ผิด ผิดเพราะเขายอมให้ทรัพย์และอำนาจนำเขาไปในทางที่ผิด ต่อแต่นี้ไปอ่องตั้งเจตนาแน่วแน่ ว่าจะใช้ทรัพย์สมบัติและอำนาจทั้งปวงที่เขามีไปในทางที่ดี ในทางที่จะทำให้ผู้อื่นเป็นสุข

       อ่องสร้างเจดีย์ไว้บูชา ข้างเจดีย์นั้นอ่องประดิษฐานรูปปั้นของ เทวา ยักขา ซอคะยีและเขมะไว้ นักแสวงบุญจากแดนใกล้แดนไกลพากันมานมัสการเจดีย์นั้น ทั้งอ่องและมาลาคอยเชื้อเชิญต้อนรับเขาเหล่านั้นด้วยไมตรีจิต จัดหาอาหารและที่พักพิงให้ ด้วยประการฉะนี้ เขาทั้งสองจึงครองสุขด้วยกันสืบมา
ขอขอบคุณ
http://www.aseantalk.com/index.php?topic=34.0

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น